ในยุคที่เศรษฐกิจถดถอยลง และส่งผลให้หลายคนมีปัญหาทางด้านการเงิน หลายคนต้องการมีบ้านหรือมีรถ แต่เงินสดก็ไม่เพียงพอ การทำสินเชื่อจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่การจะกู้เงินหรือทำสินเชื่อนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะขอกันได้ง่าย ๆ โดยที่ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเลย เพราะต้องมีเอกสารมากมาย เพื่อให้ทางธนาคารหรือสถาบันการเงินนั้นได้ประเมินว่าเรามีความสามารถในการใช้หนี้คืนได้หรือไม่ เพราะฉะนั้น ใครที่อยากจะสมัครสินเชื่อต่าง ๆ นั้น ลองมาอ่านบทความนี้กัน ว่าเราจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ก่อนที่จะสมัครสินเชื่อบ้านและรถ

การสมัครสินเชื่อ

1. การ สมัครสินเชื่อบ้านและสินเชื่อคอนโด

อสังหาริมทรัพย์อย่างบ้านและคอนโดนั้น เป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงและมีระยะเวลาในการผ่อนที่ยาวนาน เราจึงควรประเมินรายได้หรือเงินเดือนของเราให้ดีว่ามีความสามารถในการผ่อนคืนธนาคารที่ราคาเท่าไหร่ เพื่อไม่ให้เกิดความลำบากหรือขาดสภาพคล่องในอนาคต

นอกจากนี้อย่าลืมดูเรื่องของอัตราดอกเบี้ยด้วย เพราะแต่ละธนาคารจะมีเงื่อนไขดอกเบี้ยที่แตกต่างกันรวมถึงมีวงเงินให้กู้แตกต่างกันออกไปด้วย เราจึงควรศึกษารายละเอียดของแต่ละธนาคารให้ดีและเลือกเงื่อนไขที่ตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด ก็จะช่วยให้เราประหยัดเงินได้มากนั่นเอง

และอย่าลืมขออนุมัติสินเชื่อล่วงหน้า เพราะทางธนาคารและสถาบันการเงินจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับ วงเงินสูงสุด ระยะเวลาในการผ่อน และค่างวดผ่อนชำระโดยประมาณซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยให้การยื่นสมัครสินเชื่อบ้านของเรานั้นมีประสิทธิภาพและมีโอกาสที่จะกู้ผ่านมากขึ้น เมื่อถึงเวลาต้องกู้จริง ก็สามารถยื่นหลักฐานอื่น ๆ ประกอบการกู้ได้เลย ก็จะทำให้เราสะดวกยิ่งขึ้น

หลักฐานในการสมัครสินเชื่อบ้านและสินเชื่อคอนโด

1. เอกสารส่วนตัว ได้แก่สำเนาทะเบียนบ้านบัตรประจำตัวประชาชน หากเคยมีการเปลี่ยนชื่อหรือสกุล ต้องมีเอกสารสำเนารับรองการเปลี่ยนชื่อ และทะเบียนสมรส หรือทะเบียนหย่า (ถ้ามี)รวมถึงต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี และมีถิ่นพำนักอยู่ในประเทศไทย
2. เอกสารแสดงรายได้

– ผู้ที่มีรายได้ประจำต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน และมีอายุงานไม่น้อยกว่า 1 ปี จะต้องมีเอกสารสลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองการทำงาน สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน และสำเนาหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)

– บุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจส่วนตัวจะต้องดำเนินธุรกิจมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปีจะต้องมีสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนพาณิชย์หรือใบทะเบียนการค้าสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีชื่อผู้กู้และผู้กู้ร่วมสำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน ทั้งในนามบุคคลและในนามของกิจการ และสำเนา ภ.พ.30 ในกรณีที่มีผู้กู้ร่วม ผู้กู้ร่วมต้องมีส่วนในการผ่อนชำระหนี้ และต้องเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน

3. เอกสารเกี่ยวกับหลักทรัพย์และการซื้อขาย เนื่องจากการกู้สินเชื่อบ้านและสินเชื่อคอนโด จะต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน จึงต้องมีเอกสารเหล่านี้ร่วมด้วย อาทิ สำเนาโฉนดที่ดิน หรือสำเนาหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด แผนที่ทำเลที่ตั้งของที่ดินที่นำมาเป็นหลักประกัน และสำเนาสัญญาซื้อขาย หรือสัญญามัดจำ

2.การสมัครสินเชื่อรถยนต์

แม้ว่ารถยนต์นั้นจะเป็นทรัพย์สินที่ไม่ได้มีราคาสูงเท่าบ้านหรือคอนโด แต่ก็มีหลายคนที่ต้องประสบปัญหาในการผ่อนแต่ละเดือน  เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะทำการขอสินเชื่อรถยนต์ ควรประเมินรายได้ของตนเองให้ดีเสียก่อน ว่าเราสามารถผ่อนได้ที่เท่าไหร่ต่อเดือน เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหาขาดส่งแล้วถูกยึดรถในอนาคตได้

นอกจากนี้ควรเตรียมเงินดาวน์ให้พร้อม เพราะส่วนมากสถาบันการเงินที่เรายื่นกู้นั้น จะให้วางเงินดาวน์ที่ขั้นต่ำประมาณ 5% ของราคารถยนต์ หรืออาจจะสูงกว่า การเตรียมเงินไว้ล่วงหน้าก็จะทำให้เราไม่ติดขัดในการกู้สินเชื่อ และอย่าลืมดูรายละเอียดของอัตราดอกเบี้ยด้วย เพราะสถาบันการเงินมักจะแจ้งอัตราดอกเบี้ยรายปี แต่ไม่ได้คิดรวมดอกเบี้ยรายวันให้ เพราะฉะนั้นต้องสอบถามให้ถี่ถ้วนเสียก่อน

หลักฐานในการสมัครสินเชื่อรถยนต์

1. เอกสารส่วนตัวได้แก่ สำเนาบัตรประชาชน หรือบัตรข้าราชการ และสำเนาทะเบียนบ้านรวมถึงจะต้องมีอายุ 20-65 ปี และมีถิ่นพำนักในประเทศไทย
2. เอกสารแสดงรายได้

– ผู้ที่มีรายได้ประจำ จะต้องมีสลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน และสำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน

– บุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจส่วนตัวจะต้องมีสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนพาณิชย์ หรือใบทะเบียนการค้า

– นิติบุคคล จะต้องมีสำเนาหนังสือรับรองบริษัท พร้อมวัตถุประสงค์ สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจ และสำเนาทะเบียนบ้านของกรรมการผู้มีอำนาจ

การสมัครขอสินเชื่อบ้านสินเชื่อคอนโด และสินเชื่อรถยนต์ จากทางธนาคารหรือสถาบันการเงินนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป เพียงแค่เราประเมินสถานะทางการเงินของตนเองให้ดี เตรียมตัวเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อม รวมถึงอย่าลืมพิจารณาเลือกสถาบันการเงินที่มีเงื่อนไขอย่างที่เราต้องการ และข้อสำคัญคือหากเรามีเครดิตทางการเงินที่ดี ไม่มีประวัติเสียในการชำระหนี้ การกู้สินเชื่อเหล่านี้ก็จะไม่ยากอย่างที่คิด

ในยุคสมัยใหม่เรื่องของการเงินนั้นทำให้เราได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น เพราะมีสารพัดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ให้เราเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือบัตรอื่น ๆ แต่บัตรแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน เพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการใช้ เราควรจึงต้องรู้จักให้ดีก่อนว่า บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดคืออะไร และมีข้อแตกต่างในการใช้งานอย่างไรบ้าง ใครที่กำลังจะสมัครใช้ควรรู้ไว้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ

บัตรเครดิต คืออะไร

บัตรเครดิต คือบัตรที่นำมาใช้จ่ายแทนเงินสดได้ในชีวิตประจำวัน โดยการกู้ยืมเงินจากธนาคารมาใช้ก่อนแล้วผ่อนจ่ายคืนทีหลัง ออกโดยสถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถใช้ชำระค่าสินค้า ไม่ว่าจะเป็น อาหาร หรือของใช้ต่าง ๆ ได้ตามวงเงินของบัตรที่กำหนด รวมถึงการซื้อของออนไลน์ หรือจ่ายบิลและค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ได้อีกด้วยและชำระคืนทางธนาคารหรือสถาบันการเงินด้วยการจ่ายงวดเดียว หรือผ่อนจ่ายเป็นรายงวดก็ได้เช่นกัน

ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ของผู้ที่จะสมัครบัตรเครดิตเอาไว้ว่าจะต้องมีรายได้รวมหรือฐานเงินเดือนขั้นต่ำอยู่ 15,000 บาท แต่ทั้งนี้ยังมีข้อกำหนดอื่น ๆ เพิ่มเติมจากสถาบันการเงินแต่ละแห่งอีกด้วย ว่าจะทำการอนุมัติบัตรเครดิตให้หรือไม่ เช่น ดูจากประวัติการชำระเงินว่ามีผิดนัดมาก่อนบ้างหรือเปล่า ประวัติการเงินในเครดิตบูโร รวมไปถึงภาระหนี้ในปัจจุบันซึ่งหากว่าเรามีประวัติการเงินที่ดี ธนาคารหรือสถาบันการเงินก็จะอนุมัติบัตรเครดิตให้เราได้ไม่ยาก

นอกไปจากการใช้บัตรเครดิตเพื่อชำระค่าสินค่าต่าง ๆ แล้วนั้น ยังมีจุดเด่นที่สำคัญเลยคือ เราสามารถใช้เพื่อผ่อนจ่ายค่าสินค้าหรือบริการได้และสามารถใช้รูดจ่ายได้ทั่วโลกที่รองรับบัตรประเภทที่เราใช้ ทั้งยังมีโปรโมชั่นส่วนลดต่าง ๆ และสิทธิประโยชน์มากมายให้เราได้เลือกใช้ รวมถึงสามารถกดเงินสดออกมาใช้ได้ด้วย แต่จะมีค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยที่แพงมาก ทั้งนี้ทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต จะมียอดสะสมเพื่อแลกของรางวัลหรือแลกรับบริการต่าง ๆ ที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินนั้นกำหนดไว้

ดอกเบี้ยบัตรเครดิต

สำหรับบัตรเครดิตนั้น จะมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย หากมีการชำระเงินตรงเวลาตามวันที่กำหนด ก็จะไม่เสียดอกเบี้ยแต่อย่างใดแต่หากเราใช้เพื่อการผ่อนสินค้า ก็มักจะมีโปรโมชั่นผ่อน0% ระยะเวลา 3-10 เดือน และชำระขั้นต่ำ 10% จากยอดที่ใช้ แต่หากใช้กดเงินสดจะเสียค่าธรรมเนียม 3% และ vat 7%ของยอดเงินที่ทำการกดไปใช้รวมถึงดอกเบี้ยที่สูงถึง 20%โดยดอกเบี้ยจะถูกคิดตั้งแต่วันแรกที่กดเงินสดออกมา จนถึงวันที่ชำระในระยะเวลาของรอบบิลในแต่ละเดือน

บัตรกดเงินสด คืออะไร

บัตรกดเงินสดคือบัตรที่เราใช้สำหรับกดเพื่อถอนเงินสดจากตู้ ATM ของธนาคารต่าง ๆ เพื่อออกมาใช้ เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลประเภทหนึ่ง คล้าย ๆ บัตรเครดิตแต่ต่างกันที่วิธีการใช้ รวมถึงดอกเบี้ยในการชำระหนี้ ออกโดยสถาบันการเงินหรือธนาคารต่าง ๆ เช่นเดียวกัน แต่ไม่สามารถนำไปรูดชำระค่าสินค้าหรือบริการต่าง ๆ รวมถึงไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าออนไลน์เช่นเดียวกับบัตรเครดิตได้

การอนุมัติบัตรก็จะแตกต่างกันออกไปตามเงื่อนไขของแต่ละสถาบันการเงิน ส่วนใหญ่จะมีการกำหนดฐานรายได้หรือฐานเงินเดือนขั้นต่ำในการสมัครที่น้อยกว่าการสมัครบัตรเครดิต แต่จะมีดอกเบี้ยที่แพงกว่าบัตรเครดิตมาก แต่มีข้อดีคือวงเงินที่ได้จะสูงกว่าบัตรเครดิตและให้ระยะเวลาในการผ่อนคืนนานกว่า บัตรกดเงินสดจึงเปรียบเสมือนวงเงินฉุกเฉินเมื่อมีเหตุต้องใช้เงินด่วนมีจุดเด่นคือ สามารถถอนเงินสดเป็นจำนวนมากจากตู้ ATM ได้ทันทีและกำหนดฐานเงินเดือนในการสมัครไม่สูงมาก จึงทำให้ใครก็สามารถถือบัตรกดเงินสดนี้ได้

ดอกเบี้ยบัตรกดเงินสด

สำหรับบัตรกดเงินสดนั้น จะมีอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างแพง เพราะเป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อนแล้วผ่อนจ่ายคืนในภายหลัง และได้เงินสดจำนวนมากมาโดยไม่มีทรัพย์สินใดค้ำประกันโดยทั่วไปบัตรกดเงินสดหากไม่ได้มีการใช้ก็จะไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ แต่หากมีการใช้ก็จะเสียดอกเบี้ยประมาณ 28% ต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับธนาคารผู้ออกบัตร และการคิดดอกเบี้ยจะคิดตั้งแต่วันแรกที่กดเงินออกมาใช้จ่ายดังนั้น หากเรามีเงินก้อนที่สามารถจะชำระคืนได้ ควรรีบชำระคืนโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ดอกเบี้ยทบต้นทบดอกไปเรื่อย ๆ ส่วนการชำระคืนจะคิดขั้นต่ำ 3% จากยอดเงินสดที่กดมาใช้

ข้อแตกต่างของบัตรเครดิตกับบัตรกดเงินสด

บัตรเครดิตจะใช้สำหรับรูดเพื่อจ่ายค่าสินค้าหรือบริการในชีวิตประจำวัน โดยมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่รองรับการใช้จ่ายของเรา สามารถใช้แทนเงินสดได้เลย เฉพาะกับร้านที่มีเครื่องรูดบัตร และสามารถใช้ได้ทั่วโลก เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้ความสะดวกสบายในชีวิตการเงินของเราเป็นอย่างมาก ส่วนบัตรกดเงินสดนั้น เป็นเหมือนแหล่งเงินสดสำรองฉุกเฉินที่เราสามารถกดออกมาใช้ได้ทันทีที่ต้องการ ซึ่งสะดวกและง่ายดาย แต่แลกมากับดอกเบี้ยที่แพงกว่า และไม่สามารถใช้รูดจ่ายสินค้าหรือบริการแบบบัตรเครดิตได้

บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด ก็มีความแตกต่างกัน ทั้งในรูปแบบของการใช้งาน และเงื่อนไขของอัตราดอกเบี้ย สำหรับใครที่กำลังเลือกอยู่ว่าจะสมัครบัตรแบบไหนดี นอกจากจะพิจารณาจากรูปแบบการใช้งานแล้วนั้น อย่าลืมพิจารณาถึงรายละเอียดอื่นๆ ตามเงื่อนไขของสถาบันการเงินนั้น ๆ ด้วย เพื่อให้เราสามารถเลือกใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ได้ตรงกับความต้องการและความเหมาะสมของตัวเรานั่นเอง

If you are confused while picking the best one of the debt relief programs, you need to seek support from a fund attorney or a financial expert. There isn’t any shortage of the debt relief programs if you do a little research using the technology. Travelling from one place to another searching for the firms’ aid and settlement services can be a thing. Internet may be the best choice to search for information regarding the debt relief programs since there plenty of companies that have begun offering services. You receive the solution and should take an advantage of this technology. In actuality, many of the experts are available online and their solutions are given 24 hours per day. The reason behind internet is that, it may be retrieved from any part of the planet. Here are tips for you to Find and comprehend the top performing companies.

Go on the Internet and conduct a complete research:

Since net can be accessed by placing a search from anywhere and anytime, you must get the links of the firms that are internet. You have to go to the web site of the company and gather crucial details As soon as you have the links. These details contain time of presence, information regarding their services and their processes of settlement. You must check whether the debt relief programs provided by them are valid and powerful or not. You should get these details from not only one and companies. After reading the information, you might get an idea or knowledge regarding the liabilities can be taken out in a way that is sensible and legal.

There are plenty of financial Experts offering information and help. If you ask your issue they can help you pick a solution from one of the debt relief programs. This is beneficial as these experts have plenty of knowledge or thought about handling financial issues while facing with liabilities. After analysis and a research, you will have the ability to obtain aid and legitimate the top from one of the settlement companies that are reputable and you can be free from the problem of liabilities. The best debt relief settlement is a as a result of substantial amounts of customers in debt and better option than bankruptcy, creditors are currently agreeing to generous settlement prices. To compare debt settlement companies it would be smart to see a debt relief system which will find the companies in your area at no cost.